วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

ข้อควรรู้เมื่อเกิดแผ่นดินไหว

ช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ เรามักจะได้ยินข่าวการเกิดแผ่นดินไหวในแถบประเทศเพื่อนบ้านบ่อยครั้งขึ้น ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวกับเรื่องแผ่นดินไหวมากขึ้น และโดยเฉพาะในรอบประเทศไทยเองก็มีแนวรอยเลื่อนที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ รวม 3 จุด ทั้งที่รอยเลื่อนสะแกง พาดผ่านตอนกลางประเทศพม่า รอยเลื่อนซุนดา อยู่บริเวณหมู่เกาะนิโคบาร์ ประเทศอินโดนีเซีย และรอยเลื่อนฟิลิปปินส์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศฟิลิปปินส์ ฉะนั้นแล้ว ณ วันนี้ เราก็ควรทำความรู้จักกับเรื่องแผ่นดินไหวให้มากขึ้น รวมทั้งวิธีเตรียมการรับมือกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
สำหรับ "แผ่นดินไหว" ถือเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากปล่อยปลดปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ในโลก เพื่อปรับสมดุลของเปลือกโลกให้คงที่ ซึ่งปกติจะเกิดการเคลื่อนที่บริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก ทำให้ชั้นหินขนาดใหญ่ใต้พื้นผิวโลกเคลื่อนที่ตามไปด้วย และเกิดการโอนถ่ายพลังงานศักย์ จนเกิดการสั่นสะเทือนเกิดขึ้น โดยจุดที่แผ่นดินเกิดการเคลื่อนที่นั้นเรียกว่า "จุดศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหว"


          ทั้งนี้ ทั่วโลกมีเขตรอยต่อแผ่นเปลือกโลกที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวตามมามากมาย แต่จุดที่เป็นรอยต่อขนาดใหญ่ และเป็นจุดเกิดแผ่นดินไหวมากกว่า 80% ของพื้นที่อื่น ๆ ทั่วโลก คือ บริเวณวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ที่อยู่รอบมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งประกอบไปด้วยหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ชิลี นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฯลฯ

ที่มักจะเกิดแผ่นดินไหวนอกจากวงแหวนแห่งไฟแล้ว ก็ยังมีแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางทวีปยุโรปตอนใต้ แถบเทือกเขาอนาโตเลีย ที่ประเทศตุรกี ผ่านบริเวณตะวันออกกลาง จนถึงเทือกเขาหิมาลัย เช่น ประเทศอัฟกานิสถาน ประเทศจีน และประพม่


อย่างไรก็ตาม แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งจะมีพลังทำลายล้างได้มากแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่รู้สึกได้มากน้อยเพียงใด และขึ้นอยู่กับระยะทางจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว โดยหากอยู่ใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ก็จะมีความเสียหายมากกว่าจุดอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไป

สำหรับการวัดขนาดของแผ่นดินไหว (Magnitude) ใช้ระบบการวัดได้หลายรูปแบบ แต่ที่เป็นที่นิยมที่สุด คือ มาตราวัดขนาดของแผ่นดินไหวแบบริกเตอร์ โดยขนาดของแผ่นดินไหวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นมีดังนี้


ก่อนการเกิดแผ่นดินไหว

1. ควรมีไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉาย และกระเป๋ายาเตรียมไว้ในบ้าน และให้ทุกคนทราบว่าอยู่ที่ไหน

2. ศึกษาการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

3. ควรมีเครื่องมือดับเพลิงไว้ในบ้าน เช่น เครื่องดับเพลิง ถุงทราย เป็นต้น

4. ควรทราบตำแหน่งของวาล์วปิดน้ำ วาล์วปิดก๊าซ สะพานไฟฟ้า สำหรับตัดกระแสไฟฟ้า

5. อย่าวางสิ่งของหนักบนชั้น หรือหิ้งสูง ๆ เมื่อแผ่นดินไหวอาจตกลงมาเป็นอันตรายได้

6. ผูกเครื่องใช้หนัก ๆ ให้แน่นกับพื้นผนังบ้าน

7. ควรมีการวางแผนเรื่องจุดนัดหมาย ในกรณีที่ต้องพลัดพรากจากกัน เพื่อมารวมตัวกันอีกครั้งในภายหลัง

8. สร้างอาคารบ้านเรือนให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว

9. ตรวจสอบบ้านเรือนและเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้านให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง ยึดติดอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ กับพื้นหรือผนังบ้านอย่างแน่นหนา



ระหว่างการเกิดแผ่นดินไหว
1. อย่าตื่นตกใจ พยายามควบคุมสติอยู่อย่างสงบ ถ้าท่านอยู่ในบ้านก็ให้อยู่ในบ้าน ถ้าท่านอยู่นอกบ้านก็ให้อยู่นอกบ้าน เพราะส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ เพราะวิ่งเข้าออกจากบ้าน

2. ถ้าอยู่ในบ้านให้ยืน หรือหมอบอยู่ในส่วนของบ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรง ที่สามารถรับน้ำหนักได้มาก และให้อยู่ห่างจากประตู ระเบียง และหน้าต่าง

3. กรณีอยู่ในอาคาร ให้หาที่หลบกำบังในบริเวณที่ปลอดภัย พร้อมใช้มือกำบังศีรษะและลำคอ โดยหมอบบริเวณใต้โต๊ะ เก้าอี้ที่แข็งแรง ไม่มีสิ่งของหล่นใส่ หรือในจุดที่มีโครงสร้างแข็งแรง ไม่อยู่ใต้คานหรือใกล้เสา อยู่ให้ห่างจากประตู หน้าต่างที่เป็นกระจกและเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ที่สามารถล้มลงมาได้ ห้ามวิ่งหนีออกจากอาคารโดยใช้ลิฟต์ เพราะหากกระแสไฟฟ้าดับ จะติดค้างอยู่ในลิฟต์ ทำให้ขาดอากาศหายใจเสียชีวิตได้ และไม่ควรใช้บันไดหนีไฟ เพราะอาจได้รับอันตรายจากสิ่งของที่ร่วงหล่นจากแรงสั่นสะเทือน หรือบันไดหนีไฟอาจร่วงหล่นมาจากตึกได้

4. ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง ให้อยู่ห่างจากเสาไฟฟ้า และสิ่งห้อยแขวนต่างๆ ที่ปลอดภัยภายนอกคือที่โล่งแจ้ง

5. อย่าใช้เทียน ไม้ขีดไฟ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดเปลวหรือประกายไฟ เพราะอาจมีแก๊สรั่วอยู่บริเวณนั้น

6. หากกำลังขับรถ ให้หยุดรถในบริเวณที่ปลอดภัยและรอจนกว่าเหตุแผ่นดินไหวสงบค่อยขับรถต่อ ห้ามหยุดรถบริเวณใต้สะพาน ทางด่วน ป้ายโฆษณาและต้นไม้ขนาดใหญ่ เพราะเสี่ยงต่อการถูกล้มทับ

7. ห้ามใช้ลิฟท์โดยเด็ดขาดขณะเกิดแผ่นดินไหว

8. กรณีอยู่บริเวณชายทะเล หากสังเกตเห็นน้ำทะเลลดระดับอย่างรวดเร็ว ให้รีบหนีขึ้นที่สูงหรือออกห่างจากชายฝั่งทะเลให้มากที่สุด เพราะอาจเกิดคลื่นสึนามิ ถ้าอยู่ในเรือ ให้นำเรือออกสู่กลางทะเล และรอจนกว่าสถานการณ์สงบ จึงค่อยนำเรือกลับเข้าฝั่ง
หลังการเกิดแผ่นดินไหว
1. ควรตรวจตัวเองและคนข้างเคียงว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ให้ทำการปฐมพยาบาลขั้นต้นก่อน

2. ควรรีบออกจากอาคารที่เสียหายทันที เพราะหากเกิดแผ่นดินไหวตามมาอาคารอาจพังทลายได้

3. ใส่รองเท้าหุ้มส้นเสมอ เพราะอาจมีเศษแก้ว หรือวัสดุแหลมคมอื่น ๆ และสิ่งหักพังแทง

4. ตรวจสายไฟ ท่อน้ำ ท่อแก๊ส ถ้าแก๊สรั่วให้ปิดวาล์วถังแก๊ส ยกสะพานไฟ อย่าจุดไม้ขีดไฟ หรือก่อไฟจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีแก๊สรั่ว

5. ตรวจสอบว่าแก๊สรั่วด้วยการดมกลิ่นเท่านั้น ถ้าได้กลิ่นให้เปิดประตูหน้าต่างทุกบาน

6. ให้ออกจากบริเวณที่สายไฟขาด และวัสดุสายไฟพาดถึง

7. เปิดวิทยุฟังคำแนะนำฉุกเฉิน อย่าใช้โทรศัพท์ นอกจากจำเป็นจริง ๆ

8. สำรวจดูความเสียหายของท่อส้วม และท่อน้ำทิ้งก่อนใช้

9. อย่าเป็นไทยมุงหรือเข้าไปในเขตที่มีความเสียหายสูง หรืออาคารพัง

10. อย่าแพร่ข่าวลือ หรือหลงเชื่อข่าวลือ
นายภูวเทพ  รัศมี  ม.5/8  เลขที่47
วิชาโลกศึกษา+

ดอกไม้ " วันวาเลนไทน์ "

มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ดอกไม้แต่ละชนิดสามารถสื่อความรักได้หลาย รูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย

กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย

กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น

กุหลาบดำ หมายถึง ความรักนิรันดร์

กุหลาบแดง (red rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ" การให้ดอกกุหลาบแดงกับคนที่รักความ หมายถึงความรักอันลึกซึ้ง จริงจัง กุหลาบแดงจึงมักจะเป็นดอกไม้ ที่ชายหนุ่มให้หญิงสาวที่ตนเองตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน

กุหลาบขาว (white rose) : สีขาวเป็นสีแห่งความบริสุทธ์ กุหลาบขาวจึงแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ดังนั้นมันจึงสามารถใช้แทนความรักของคนต่างวัย ความรักต่อพ่อแม่ เพื่อน หรือคนที่เรารู้สึกดีด้วยอย่างบริสุทธิ์ใจได้

กุหลาบชมพู (pink rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน การให้ดอกกุหลาบสีชมพูสามารถแสดงถึงความรัก ที่กำลังเริ่มงอกงามในใจ และสามารถพัฒนาต่อไปเป็นความรักที่ลึกซึ้งได้

กุหลาบเหลือง (yellow rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส กุหลาบสีเหลืองถูกใช้สำหรับแทนความรักแบบเพื่อน และความ สนุกสนานรื่นเริงจึงมักจะนำมันมาประดับตะกร้าสำหรับเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อทำให้คนป่วยรู้สึกสดชื่นรื่นเริงขึ้นนั่นเอง

สำหรับดอกไม้อื่น ๆ ที่ถูกมาใช้แทนความหมายแห่งความรักก็มี ดอกทิวลิบสีแดง (red tulib) ชาวตะวันตกใช้มันแทนการประกาศความรัก อย่างเปิดเผย คล้าย ๆ กับดอกกุหลาบแดง

ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู (pink carnation) ใช้สื่อความหมายว่า "ถึงอย่างไรผมก็ยังรักคุณ" หรือ "คุณยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ"

ดอกลิลลี่สีขาว (white lilly) แสดงความรักแบบบริสุทธ์ เช่นเดียวกันกับดอกกุหลาบขาว นอกจากนั้นลิลลี่สีขาวยังแสดงถึงความรักแบบอ่อนหวานจริงใจ และเทอดทูน และมักถูกใช้แทนประโยคที่ว่า "ฉันรู้สึกดี ๆ ที่ได้ได้รู้จัก และอยู่ใกล้คุณ "

สำหรับดอก forget-me-not มีความหมายตรงตัวคือได้โปรดอย่าลืมฉัน และอย่าลืมความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กัน

มาถึงดอกไม้ที่เห็นได้ทั่วไปในบ้านเราบ้างดอกทานตะวัน (sunflower) มีความหมายถึงความรักแบบคลั่งไคล้ ความรักแบบบูชา แต่สำหรับชาวตะวันตก ดอกทานตะวันจะหมายถึงความเข้มแข็งอดทน จึงสามารถใช้แทนความรักที่ต้องฝ่าฟันกว่าจะได้ความรักมา

จัดทำโดย

น.ส.ปราลี จาดเนือง เลขที่19 ม.5/8

วิชา โลกศึกษา (Global Education)


กำเนิด ช็อกโกแลต

ในปี พ.ศ.2062 เออร์นานโด คอร์เตส แห่งสเปน ได้บุกเข้าโจมตีเม็กซิโก กองทัพของสเปนได้บุกยึดเมืองหลวง แต่เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย ทำให้ทหารสเปนอ่อนเพลียไปตามๆ กัน แต่ระหว่างการเดินทาง คอร์เตสได้รับเครื่องดื่มสีดำ จากชาวเม็กซิโก ที่เรียกว่า ช็อกโกลาธ์ลชาวเม็กซิโกได้นำเครื่องดื่ม ช็อกโกลาธ์ล นี้ มาให้ และบอกว่า ได้มาจากการบดเม็ดของลูกคาเคา และละลายน้ำ ถือกันว่า เป็นเครื่องดื่มของพระเจ้าเมื่อคอร์เตสทดลองดื่มดู ก็แทบจะอาเจียน เพราะรสชาติขมมาก แต่เพราะการเดินทางมาด้วยความเมื่อยล้า จึงต้องดื่ม และแจกจ่ายให้ทหารทุกคน ผลปรากฎว่า ทหารกระปรี้กระเปร่าขึ้นมากันทุกคน คอร์เตสจึงคิดว่า อาจจะเป็นเพราะ ช็อกโกลาธ์ล ที่ทำให้ทหารทุกคน กระปรี้กระเปร่าเมื่อยึดเม็กซิโกได้ จึงนำลูกคาเคากลับไปเป็นจำนวนมาก และเวลารับประทานก็เติมน้ำตาลลงไป ทำให้ไม่ขม และเป็นที่นิยมกันมาก เพราะมีรสชาติอร่อยขึ้น จากนั้นก็มีวิวัฒนาการ ไปผสมกับส่วนอื่นๆ ที่สามารถเพิ่มรสชาติให้อร่อยขึ้น และนำมาทำเป็นแท่ง หรือรูปแบบต่างๆ และกลายมาเป็นช็อกโกแลต อย่างที่เห็นกันในปัจจุบันนั่นเอง ช็อกโกแลต เป็นขนมหวานที่คนทั่วไปนิยมรับประทาน โดยเฉพาะเด็ก เพราะมีรสหวาน กลิ่นรสน่ารับ มีรูปแบบในการผลิตหลากหลาย เช่น ชนิดแท่ง เคลือบ สอดไส้ เป็น ช็อกโกแลตประกอบด้วยโกโก้ลิเควอร์ (Cocoaliquar) เนยโกโก้ (Cocoa butter)น้ำตาล เลซิทิน และสารแต่งกลิ่นต่างๆ อาจแบ่งชิดของช็อกโกแลตเป็น 3 ชนิด คือ ช็อกโกแลต (Dark Chocolate) ช็อกโกแลตขาว (White Chocolate) และช็อกโกแลตรสนม (Milk Chocolate) ช็อกโกแลตขาว จะมีส่วนผสมเหมือนช็อกโกแลต แต่ใช้เนยโกโก้เควอร์ จึงทำให้ช็อกโกแลต มีลักษณะเป็นสีขาว และมีรสหวานมาก ในขณะที่ช็อกโกแลตนม จะลดปริมาณโกโก้ลิเควอร์และเติมนมผงกระบวนการผลิตช็อกโกแลตมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน เริ่มจากการผสมส่วนผสม การบดเพื่อทำให้ละเอียดโดยใช้ลูกกลิ้งบด 6 ตัว เพื่อลดขนาดอนุภาค ขนาดอนุภาคของช็อกโกแลตต้องมีขนาดเล็กมาก ไม่ควรเกิน 35 ไมครอน การนวด ประมาณ 24-48 ชั่วโมง การควบคุมผลึกโดยการควบคุมอุณหภูมิของช็อกโกแลตให้อยู่ในรูปที่เสถียร การขึ้นรูปโดยใช้แม่พิมพ์ โดยแม่พิมพ์ควรมีอุณหภูมิประมาร 30 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้ช็อกโกแลตติดแม่พิมพ์ เคาะแม่พิมพ์เพื่อไล่ฟองอากาศ ทำให้เย็นเพื่อกำจัดความร้อง จากการควบคุมผลึกหากกำจัดความร้อนไม่สมบูรณ์ จะเกิดการหลอมเหลวของไขมัน เป็นคราบขาว บริเวณผิวหน้า ซึ่งเรียกว่า Fat bloom ทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่น่ารับประทาน คุณลักษณะของช็อกโกแลตจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน เช่น ช็อกโกแลตชิพ ในคุกกี้ จะต้องไม่ละลายเมื่อนำไปอบ ช็อกโกแลตสำหรับเคลือบจะต้องมีความหนืดต่ำ อ่อนตัวกว่าปกติ เมื่อเคลือบจะได้ไม่หนาเกินไป ช็อกโกแลตเป็นขนมที่มีคุณค่าโภชนาการค่อนข้างสูง นอกจากให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตและไขมันแล้ว ยังมีวิตามิน เอ ดี เค และธาตุเหล็กค่อนข้างสูง การรับประทานช็อกโกแลตควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน ความดัน ในโลหิตสูง ตามมาก็ได้









จัดทำโดย
น.ส. ปราลี จาดเนือง เลขที่ 19 ม.5/8
วิชา โลกศึกษา (Global Education)



ตำนานวาเลนไทน์

ตำนานวาเลนไทน์

ตำนาน วาเลนไทน์ ทำไม ? วันวาเลนไทน์ หรือ วันแห่งความรัก ต้องเป็น วันที่ 14
กุมภาพันธ์ วาเลนไทน์ (Valentine) คือวันที่ระลึกถึง นักญเซนต์ วาเลนไทน์ (Saint Valentine)ผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงแต ่เขาต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือเมื่อประมาณ 1,728 ปีล่วงเลยมาแล้ว ในจักรวรรดิโรมันประวัติความเป็นมาของเรื่องนี้ เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 3 มีผู้นำคริสเตียนคนหนึ่งชื่อ "วาเลนตินัส" เขาเป็นคนที่มีความรักและความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์มาก โดยทุก ๆ วันเขาจะแอบนำอาหารและของใช้ที่จำเป็น ไปวางไว้ประตูหน้าบ้านของคนยากจนโดยไม่ให้คนเหล่านั้นรู้ ซึ่งในสมัยนั้นนะคะ ศาสนาคริสต์ยังไม่เป็นที่ยอมรับในจักรวรรดิโรมัน และถือว่าใครที่นับถือศาสนาคริสต์ จะมีความผิดร้ายแรงมาก พวกคริสเตียนจึงถูกข่มเหงและทารุณกรรมอย่างหนักเพื่อบังคับให้เลิกเป็นคริสเตียน ใครที่ไม่ยอมเลิกนับถือคริสต์จะถูกทรมานและฆ่าทิ้ง วาเลนตินัส ก็รวมอยู่ในกลุ่มขบวนการถูกขู่เข็ญและทรมานบังคับให้เลิกนับถือศาสนาคริสต์ แต่เขาไม่ยอมจึงถูกจับเข้าคุก ในข้อหาเป็นคริสเตียน ในขณะที่เขาถูกจับขังคุกนั้น ก็พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเธอเป็นลูกสาวของผู้คุมในนั้น และด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของคนรักของเขาซึ่งเธอตาบอด หายเป็นปกติ จากเหตุการณ์นี้เองจึงทำให้ผู้คุมและครอบ-ครัวของเขาหันมานับถือศาสนาคริสต์ เมื่อความนี้นี้เองรู้ถึงจักพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ของโรม พระองค์ทรงกริ้วมาก สั่งให้ลงโทษวาเลนตินัส อย่างหนักด้วยการโบยและนำไปประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ในคืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารนั้น เขาได้เขียนจดหมายสั้น ๆ เป็นการอำลาส่งไปให้หญิงคนรัก ของเขาและลงท้ายในจดหมายว่า "จากวาเลนไทน์ของเธอ" รุ่งขึ้นของเช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 วาเลนตินัสก็ถูกนำไปตัดศีรษะและเอาศพไปฝังไว้ที่เฟลมิเนี่ยนเวย์ซึ่งภายหลังมีการสร้างโบสถ์หลังใหญ่คร่อมสุสานของเขาไว้เพื่อเป็น อนุสรณ์รำลึกถึงชีวิตและความรักอันยิ่งใหญ่ของเขา คนทั่วไปประทับใจกับความรักของเขาจึงยึดถือเอาวันที่14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น "วันวาเลนไทน์" ภาษาอังกฤษเรียกว่า Saint Valentine's Day หรือ Valentine'sDay หรือวันแห่งความรัก ซึ่งต่อมาได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรปและอเมริกา และเข้ามาในทวีปเอเชียด้วยแล้วทำไม? วันวาเลนไทน์ต้องให้ดอกกุหลาบด้วยนะ...สงสัยจัง...ด้วยความที่กุหลาบมีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้ว จึงทำให้ความสวยงามของดอกและกลิ่นอันชวนพิสมัยของราชินีแห่งดอกไม้นี้เป็นที่เลื่องลือมาช้านาน และล้วนกล่าวถึงความงามเป็นสื่อที่แสดงถึงความสุข ความมีไมตรีจิต ความน่ารักความสวยงาม การบูชา และการเกี้ยวพาราสี ดังนั้น กุหลาบจึงเป็นเสมือนตัวแทนแห่งความรัก และความอมตะจนมีตำนานกล่าวขานกันต่าง ๆ นานา ตั้งแต่สมัยกรีก ตำนานเล่าว่า "คลอรีส" เทพธิดาแห่งดอกไม้ ได้บันดาลให้ร่างของนางไม้กลายเป็นกุหลาบ และยกให้เป็นราชินีของดอกไม้ จากนั้นต่อมาก็มีารมอบดอกกุหลาบแก่ "อีรอส" ลูกชาย ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก ส่วนในศาสนาคริสต์เชื่อกันว่า ในสมัยที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนอยู่นั้น พระโลหิตได้ไหลหยดลงบนต้นหญ้ามอสส์และได้บังเกิดเป็นต้นกุหลาบที่มีดอกสีแดงสด จึงมีการเรียกขานกุหลาบชนิดนี้ว่า "กุหลาบมอสส์" นอกจากนี้ยังมีการสู้รบกันระหว่าง 2 ตระกูลใหญ่ คือราชวงศ์ยอร์ค ซึ่งใช้สัญลักษณ์เป็นดอกกุหลาบขาว และราชวงศ์แลงแคสเตอร์ ใช้ดอกกุหลาบแดงเป็นสัญลักษณ์ และได้เรียกสงครามครั้งนี้ว่า "สงครามกุหลาบ" ซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1948-2028 และในสมัยต่อมาพวกกุหลาบแดงได้มาแต่งงานกับพวกกุหลาบขาว ซึ่งในปัจจุบันกุหลาบได้ถือเป็นดอกไม้ประจำชาติของชาวอังกฤษในประเทศไทยมีเรื่องราวเล่าขานถึงความงดงามองดอกกุหลาบไว้โดยปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์ของพระมหาธีราชเจ้า รัชกาลที่ 6 ในเรื่อง "มัทนะพาธา" หรือ "ตำนานดอกกุหลาบ" ซึ่งได้
ของเช้าวันที่14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 วาเลนตินัสก็ถูกนำไปตัดศีรษะและเอาศพไปฝังไว้ที่เฟลมิเนี่ยนเวย์ซึ่งภายหลังมีการสร้างโบสถ์หลังใหญ่คร่อมสุสานของเขาไว้เพื่อเป็น อนุสรณ์รำลึกถึงชีวิตและความรักอันยิ่งใหญ่ของเขา คนทั่วไปประทับใจกับความรักของเขาจึงยึดถือเอาวันที่14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น "วันวาเลนไทน์" ภาษาอังกฤษเรียกว่า Saint Valentine's Day หรือ Valentine'sDay หรือวันแห่งความรัก ซึ่งต่อมาได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรปและอเมริกา และเข้ามาในทวีปเอเชียด้วยแล้วทำไม? วันวาเลนไทน์ต้องให้ดอกกุหลาบด้วยนะ...สงสัยจัง...ด้วยความที่กุหลาบมีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้ว จึงทำให้ความสวยงามของดอกและกลิ่นอันชวนพิสมัยของราชินีแห่งดอกไม้นี้เป็นที่เลื่องลือมาช้านาน และล้วนกล่าวถึงความงามเป็นสื่อที่แสดงถึงความสุข ความมีไมตรีจิต ความน่ารักความสวยงาม การบูชา และการเกี้ยวพาราสี ดังนั้น กุหลาบจึงเป็นเสมือนตัวแทนแห่งความรัก และความอมตะจนมีตำนานกล่าวขานกันต่าง ๆ นานา ตั้งแต่สมัยกรีก ตำนานเล่าว่า "คลอรีส" เทพธิดาแห่งดอกไม้ ได้บันดาลให้ร่างของนางไม้กลายเป็นกุหลาบ และยกให้เป็นราชินีของดอกไม้ จากนั้นต่อมาก็มีารมอบดอกกุหลาบแก่ "อีรอส" ลูกชาย ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก ส่วนในศาสนาคริสต์เชื่อกันว่า ในสมัยที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนอยู่นั้น พระโลหิตได้ไหลหยดลงบนต้นหญ้ามอสส์และได้บังเกิดเป็นต้นกุหลาบที่มีดอกสีแดงสด จึงมีการเรียกขานกุหลาบชนิดนี้ว่า "กุหลาบมอสส์" นอกจากนี้ยังมีการสู้รบกันระหว่าง 2 ตระกูลใหญ่ คือราชวงศ์ยอร์ค ซึ่งใช้สัญลักษณ์เป็นดอกกุหลาบขาว และราชวงศ์แลงแคสเตอร์ ใช้ดอกกุหลาบแดงเป็นสัญลักษณ์ และได้เรียกสงครามครั้งนี้ว่า "สงครามกุหลาบ" ซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1948-2028 และในสมัยต่อมาพวกกุหลาบแดงได้มาแต่งงานกับพวกกุหลาบขาว ซึ่งในปัจจุบันกุหลาบได้ถือเป็นดอกไม้ประจำชาติของชาวอังกฤษในประเทศไทยมีเรื่องราวเล่าขานถึงความงดงามองดอกกุหลาบไว้โดยปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์ของพระมหาธีราชเจ้า รัชกาลที่ 6 ในเรื่อง "มัทนะพาธา" หรือ "ตำนานดอกกุหลาบ" ซึ่งได้ปรากฏชัดว่าดอกกุหลาบได้กลายเป็นดอกไม้ที่นิยมไปทั่วโลกเรามาย้อนอดีต...กุหลาบ...ราชินีแห่งบุปผชาติกันดูไหมด้วยความโดดเด่นของรูปโฉมอันพิลาส กอปรกับกลิ่นหอมที่มีเสน่ห์เย้ายวนชวนให้น่าหลงไหล กุหลาบจึงเป็นดอกไม้ที่นิยมมาตั้งแต่อดีตกาล โดยสันนิษฐานว่า กุหลาบนั้นถือกำเนิดมาตั้งแต่สมัย Taceous หรือเมื่อประมาณ 40 ล้านปีมาแล้วโดยดูได้จากซากฟอสซิลที่ขุดพบโดยนักวิทยาศาสตร์ แต่หลักฐานที่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดแน่นอนจะอยู่ในราว 5,000 ปีที่ผ่านมาค่ะ ตั้งแต่สมัย สุเมเรียน (Sumerians)โดยนักโบราณคดีชาวอังกฤษได้ขุดค้นพบน้ำที่มีกลิ่นกุหลาบในหลุม ศพของกษัตริย์ในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังค้นพบเครื่องประดับของชาวสุเมเรียน ซึ่งมีรูปทรงเป็นดอกกุหลาบทำด้วยทองคำ แต่ในบางแหล่งได้กล่าวไว้ว่า กุหลาบมีกำเนิด ณ เทือกเขาคอเคซัส ประเทศเปอร์เซีย หรืออิหร่านในปัจจุบันและมีชื่อเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่า "คุล" Gol หรือ Gul ซึ่งแปลว่า ดอกไม้ และคำว่า "คุลาพ" หมายถึง กุหลาบอย่างที่คนไทยเราเรียกกันสำหรับประเทศไทยไม่ทราบแน่ชัดว่า มีกุหลาบมาตั้งแต่สมัยใด หากแต่มีการบันทึกของราชทูตฝรั่งเศส ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ว่าได้เห็นดอกกุหลาบอยู่ในกรุงศรีอยุธยา และอีกหลายแห่งที่ปรากฎหลักฐานว่า มีกุหลาบเข้ามาเมือง-ไทยแล้วก็คือ กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก ซึ่งเป็นพระราชพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ที่ได้กล่าวถึงความงามของดอกกุหลาบไว้ด้วยรูปร่างและสีสันของดอกกุหลาบ...แปลความหมายได้ดอกกุหลาบนั้นทั้งลักษณะและสีสันของมันสามารถสื่อความหมายถึงคนที่เรามอบให้ ได้ว่าอย่างไร ที่เราทุกคนเรียกมันว่า "ภาษาดอกไม้" อย่างไรไงคะ เรามาดูกันเลยนะคะว่าดอกกุหลาบแต่ละแบบ แต่ละสีสื่อความหมายไว้ว่าอย่างไรกันบ้าง กุหลาบแดง หมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของคิวปิดและอีรอส (คุณกามเทพไง) เป็นสิ่งนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับกุหลาบขาว หมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ ความเงียบสงบ และนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับเช่นเดียวกับดอกกุหลาบแดงกุหลาบสีชมพู หมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่สุดกุหลาบสีเหลืองหรือสีส้ม หมายถึง ความรักร้อนแรงและยาวนาน ไม่จืดจาง หวานชื่น และมีความสุขกุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัยกุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่นเป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าคุณคงหายสงสัยแล้วนะคะว่าทำไมวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปีจึงเป็นวันวาเลนไทน์และทำไมต้องให้ดอกกุหลาบในวันนั้น อ้อ ประเพณีของหนุ่ม-สาวชาวอาทิตย์อุทัย หรือชาวญี่ปุ่นนั่นเองจะแตกต่างกับ ชาติอื่น ๆ คือในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือ วันวาเลนไทน์ สาว ๆ จะเป็นคนให้ ช็อกโกเลต (chocolate) รูปหัวใจขนาดเล็ก-ใหญ่แล้วแต่ความชอบน้อย-มาก ตัวเองทำเองแก่หนุ่ม ๆ ที่เธอชอบ เรียกว่าวันนั้นหนุ่ม ๆ ยิ้มกันแก้มปริกันเป็นแถวเลย หลังจากวันนั้นอีกหนึ่งเดือนคือวันที่ 14 มีนาคมหนุ่ม ๆ ก็จะมอบดอกกุหลาบ เพื่อเป็นการขอบคุณสาวผู้ให้





จัดทำโดย
น.ส. ปราลี จาดเนือง เลขที่19 ม.5/8
วิชา โลกศึกษา (global Education)
เทศกาลแห่งดวงดาว TANABATA MATSURI


Tanabata (Star Festival)





Tanabata Matsuri (七夕祭 たなばたまつり ) อ่านว่า ทะนะบะตะมะซึริ
หรือเทศกาลแห่งดวงดาว เป็นเทศกาลที่แสนจะโรแมนติก เพราะมีการเล่าสืบต่อกันมาถึงความรัก
ที่ต่างชนชั้นกันของคนสองคน เทศกาลนี้จะมีขึ้นทุกปีของวันที่ 7 เดือน 7 จึงเป็นที่รู้จักกันดีในภาษาอังกฤษว่า Seven Evening ซึ่งจะเป็นค่ำคืนที่ดาว Vega (Orihime) กับดาว Altair (Hikohoshi)
จะสุกใสสว่างที่สุดบนท้องฟ้า และจะโคจรเข้ามาใกล้กันที่สุดในรอบปี จึงเปรียบเป็นเรื่องเล่าจากตำนานกล่าวไว้ว่า เจ้าหญิง Orihime เป็นธิดาของเจ้าผู้ครองสวรรค์ และมีฝีมือในการทอผ้าที่วิจิตรงดงาม
ทั้งสองมีปราสาทอยู่ทางทิศตะวันออกของสวรรค์ เมื่อบิดาของเจ้าหญิงเห็นว่าเจ้าหญิงได้ทอผ้าไม่เคยหยุดพักเลย จึงได้คิดที่จะให้เจ้าหญิงเป็นฝั่งเป็นฝา และได้ข่าวว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ Hikohoshi
ซึ่งเลี้ยงวัวอยู่ทางทิศตะวันตก อีกฟากหนึ่งของสวรรค์เขาเป็นคนที่มีความกล้าหาญ และขยัน จึงได้แนะนำ


ให้ทั้งคู่รู้จักกัน และรักกันในที่สุด แต่เมื่อเจ้าหญิง Orihime เกิดความรักกับ Hikohoshi
จนไม่ได้ทอผ้าไปถวายพระบิดาอีก และละเลยหน้าที่ของตน จึงทำให้บิดาโกรธมาก จึงได้ส่ง Hikohoshi กลับไปเลี้ยงวัวตามเดิม และความรักของทั้งคู่ก็ถูกกั้นด้วยสายน้ำแห่งทางช้างเผือก
ซึ่งทำให้เจ้าหญิงเสียใจมากและเอาแต่ร้องไห้และไม่สามารถทอผ้าได้อีก พระบิดาเห็นดังนั้นจึงได้ให้คำมั่นสัญญากับเจ้าหญิงว่า เมื่อถึงวันที่ 7 เดือน 7 จะให้ทั้งสองได้พบกัน โดยเมื่อถึงวันนั้นบรรดานก Kasasagi
ก็จะมารวมตัวกันเป็นสะพานข้ามทางช้างเผือกทำให้ทั้งคู่ได้พบกัน.... แต่ตำนานนี้ก็อาจจะมีการผิดเพี้ยนไปบ้างเพราะว่าแต่ละแห่งก็เล่าไม่เหมือนกัน แต่ก็มีส่วนใกล้เคียงกันมาก

ส่วนกิจกรรมในวันนี้ที่ญี่ปุ่นจะมีการนำกระดาษ 5 สี หรือ (Tanzaku) มาเขียนคำอธิฐานทั้งเรืองงาน ความรัก การเรียน สุขภาพ เป็นต้น และยังมีการนำกระดาษมาตัดเป็นรูปคล้ายๆโซ่แทนสัญลักษณ์ของทางช้างเผือก แล้วนำไปแขวนไว้ที่ต้นไผ่ และนำมาประดับไว้ตามบ้าน วัด หรือโรงเรียน
และยังมีขบวนพาเหรดแห่กันใหญ่โตและสวยงาม เทศกาลนี้จึงเป็นเทศกาลที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดอีกเทศกาลหนึ่ง โดยเฉพาะจังหวัด Miyagiและ Kanagawa