วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

ภัยธรรมชาติที่เกิดในประเทศไทย

             ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความแตกต่างระหว่างแต่ละภูมิภาคไม่ค่อยมาก โดยรวมจะมีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ตั้งอยู่บริแวณแนวเส้นศูนย์สูตร พื้นที่ประเทศไทยแบ่งออกเป็น 5 ภาค คือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ภาคใต้จะมีลักษณะภูมิอากาศที่แตกต่างกับภาคอื่นเล็กน้อย มีฤดูกาลเพียงแค่ 2 ฤดูคือ ฤดูฝนและฤดูร้อน สภาพอากาศร้อนชื้นมากกว่าภูมิภาคอื่น เนื่องจากอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากที่สุด เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของฤดูก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจนทำให้กลายเป็นภัยธรรมชาติ ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเป็นภัยพิบัติต่อมนุษย์ ทรัพย์สินและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหายมหาศาลต่อส่วนตัวและส่วนรวม ประเทศไทยนับว่าโชคดีกว่าหลายๆประเทศในแถบเอเชียและแปซิฟิก เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสม พื้นดินมีความอุดมสมบูรณ์ลมฟ้าอากาศดี มีฝนตกต้องตามฤดูกาลเป็นส่วนมาก ภัยธรรมชาติที่เกิดมักจะเกิดไม่บ่อยและไม่มีความรุนแรงมากนัก

                         
                            ตำแหน่งร่องความกดอากาศต่ำ และทิศทางลมมรสุม

              ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมีหลายรูปแบบ ที่สำคัญและเสียหายได้เป็นอย่างมาก คือ วาตภัย อุทกภัย อัคคีภัยและแผ่นดินไหว วาตภัยและอุทกภัยมีสาเหตุหลักจากพายุหมุนเขตร้อนและพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง ในขณะที่อัคคีภัยและแผ่นดินไหว มนุษย์มีส่วนทำให้เกิด
ภูมิอากาศของประเทศไทยมีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นตัวกำหนดหลักของลัษณะอากาศของประเทศไทย ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ จะพัดระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ อากาศโดยทั่วไปจะหนาวเย็นและแห้งแล้ง ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะพัดระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม นำอากาศร้อนและชื้นจากมหาสมุทรเข้ามา ทำให้มีฝนตกทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งและเทือกเขาด้านรับลมจะมีฝนตกชุก ถือเป็นช่วงฤดูฝน ช่วงระหว่างเปลี่ยนฤดูระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม มีลมไม่แน่ทิศและเป็นช่วงที่พื้นดินได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์สูงสุด อากาศทั่วไปจะร้อนอบอ้าวและแห้งแล้ง พายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดขึ้นมักปรากฎมีความรุนแรงเป็นช่วงฤดูร้อน ภัยธรรมชาติที่พบในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 8 ชนิด ดังนี้

-พายุหมุนเขตร้อน (Tropical cyclones)
-แผ่นดินไหว (Earthquakes)
-อุทกภัย (Floods)
-พายุฟ้าคะนองหรือพายุฤดูร้อน (Thunderstorm)
-แผ่นดินถล่ม (Landslide)
-คลื่นพายุซัดฝั่ง (Storm Surges)
-ไฟป่า (fires)
-ฝนแล้ง (Droughts)


จากการเก็บข้อมูลทางสถิติของกรมอุตุนิยมวิทยาได้ทำการสรุปภัยธรรมชาติที่เกิดในภูมิภาคต่างๆของประเทศไทย ในช่วงปี 2540 – 2550 มีดังนี้

<>
เดือน/ภาคเหนือตะวันออกกลางตะวันออก ใต้
  เฉียงเหนือ  ฝั่งตะวันออกฝั่งตะวันตก
มกราคม     อุทกภัย
      ฝนแล้ง
กุมภาพันธ์ไฟป่าไฟป่าฝนแล้ง  ฝนแล้ง
  ฝนแล้ง    
มีนาคมพายุฤดูร้อนพายุฤดูร้อนพายุฤดูร้อนฝนแล้งฝนแล้งฝนแล้ง
 ไฟป่าไฟป่าฝนแล้ง   
 ฝนแล้งฝนแล้ง    
เมษายนพายุฤดูร้อนพายุฤดูร้อนพายุฤดูร้อนฝนแล้ง ฝนแล้ง
 ไฟป่าไฟป่าฝนแล้ง   
 ฝนแล้งฝนแล้ง    
พฤษภาคมอุทกภัยอุทกภัยอุทกภัยฝนแล้งพายุหมุนเขตอุทกภัย
 พายุฤดูร้อนพายุฤดูร้อนพายุฤดูร้อน ร้อน 
     อุทกภัย 
มิถุนายนอุทกภัยอุทกภัยอุทกภัยอุทกภัยอุทกภัยอุทกภัย
 ฝนทิ้งช่วงฝนทิ้งช่วงฝนทิ้งช่วงฝนทิ้งช่วง  
กรกฎาคมพายุหมุนเขตร้อนพายุหมุนเขตร้อนพายุหมุนเขตร้อนอุทกภัยอุทกภัยอุทกภัย
 อุทกภัยอุทกภัยพายุฝนฟ้าคะนองฝนทิ้งช่วง  
 พายุฝนฟ้าคะนองพายุฝนฟ้าคะนองฝนทิ้งช่วง   
 ฝนทิ้งช่วงฝนทิ้งช่วง    
สิงหาคมพายุหมุนเขตร้อนพายุหมุนเขตร้อนพายุหมุนเขตร้อนพายุหมุนเขตร้อนอุทกภัยอุทกภัย
 อุทกภัยอุทกภัยอุทกภัยอุทกภัย  
 พายุฝนฟ้าคะนองพายุฝนฟ้าคะนองพายุฝนฟ้าคะนองพายุฝนฟ้าคะนอง  
กันยายนพายุหมุนเขตร้อนพายุหมุนเขตร้อนพายุหมุนเขตร้อนพายุหมุนเขตร้อน  
 อุทกภัยอุทกภัยอุทกภัยอุทกภัย  
 พายุฝนฟ้าคะนองพายุฝนฟ้าคะนองพายุฝนฟ้าคะนองพายุฝนฟ้าคะนอง  
ตุลาคม  พายุหมุนเขตร้อนพายุหมุนเขตร้อนอุทกภัยพายุหมุนเขตร้อน
   อุทกภัยอุทกภัย อุทกภัย
   พายุฝนฟ้าคะนองพายุฝนฟ้าคะนอง คลื่นพายุซัดฝั่ง
      แผ่นดินถล่ม
พฤศจิกายน    อุทกภัยพายุหมุนเขตร้อน
      อุทกภัย
      คลื่นพายุซัดฝั่ง
      แผ่นดินถล่ม
ธันวาคม     อุทกภัย



พบว่าในช่วงต้นปีตั้งแต่มกราคมถึงเดือนเมษายน ภัยธรรมชาติที่เกิดบ่อยเป็นไฟป่า ฝนแล้ง พายุฤดูร้อน  พอเข้าสู่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนกันยายนเกือบทุกภาคจะประสบปัญหาพายุหมุนเขตร้อน อุทกภัย พายุฝนฟ้าคะนอง ฝนทิ้งช่วง และช่วงสุดท้ายเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคมพื้นที่ภาพกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคตะวันออกจะเริ่มเข้าฤดูหนาว ในขณะที่ภาคใต้จะอยู่ในช่วงฤดูฝนจะประสบปัญหาอุทกภัย พายุหมุนเขตร้อน คลื่นพายุซัดฝั่งและแผ่นดินถล่ม

ภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหาย
                   
             เมื่อดูสถิติข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้สรุปออกมาเกี่ยวกับภัยธรรมชาติที่พบในภูมิภาคต่างๆเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เจอกันอยู่ตอนนี้มีความคลาดเลื่อนเล็กน้อย เนื่องมาจากการเปลี่ยนของทรัพยากรของโลก ลักษณะภูมิอากาศและภูมิประเทศ ประกอบกับภาวะฉับพลัน เช่น การเกิดแผ่นดินไหว ตัวอย่างประเทศเฮติในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2553 มีความรุนแรง 7.0 ริคเตอร์ และเกิดอาฟเตอร์ช๊อคตามมาเรื่อยๆ มีผู้เสียชีวิตระหว่าง 217,000 – 230,000 คน สร้างความเสียหายให้ประเทศเฮติเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่น้อยและมีความระดับความสั่นสะเทือนที่ไม่สูง แต่ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศที่อยู่บริเวณขอบแผ่นทวีป เช่น ประเทศอินโดนีเซียเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวรวมไปถึงภัยอันตรายที่มาพร้อมกับแผ่นดินไหวนั้นก็คือ สึนามิ (Tsunami) และภูเขาไฟระเบิด โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2553 เกิดภูเขาไฟเมราปีปะทุขึ้นที่บริเวณจังหวัดชวากลาง หลังจากนั้น 1 วัน เกิดแผ่นดินไหว วัดระดับความสั่นสะเทือนได้ 7.2 ริคเตอร์ที่หมู่เกาะแมนตาไว จังหวัดสุมาตราตะวันตก หลังจากเกิดแผ่นดินไหวก็มีสึนามิตามมาทำให้ผู้คนเสียชีวิต 108 คน สูญหายกว่า 500 คน
             ภัยธรรมชาติที่ประเทศไทยประสบทุกปีคือพายุหมุนเขตร้อนและอุทกภัย โดยพายุหมุนเขตร้อนที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยจะมีจุดกำเนิด 2 จุดด้วยกันคือ พายุหมุนที่ก่อตัวบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้จะก่อตัวเป็นพายุดีเปรสชั่น เข้าประเทศไทยบริเวณอ่าวไทยและอีกจุดหนึ่งก่อตัวบริเวณมหาสมุทรอินเดียเป็นพายุไซโคลนถึงแม้ว่าจะไม่เข้าประเทศไทยโดยตรงแต่ก็ส่งผลกระทบเช่นกัน จากการที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยในช่วงนี้ (เดือนตุลาคม-เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2553) เกิดจากพายุดีเปรสชั่น ทำให้เกิดฝนตกติดต่อกันหลายวัน เขื่อนต่างๆไม่สามารถแบกรับน้ำจำนวนมากไว้ได้จึงทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลาง ภาคอีสานและล่าสุดคือภาคใต้ โดยเฉพาะหาดใหญ่ พัทลุง ตรัง สตูล ที่โดนพายุพัดและน้ำท่วมเต็มๆ

            เมื่อเรามาดูว่าทำไมพื้นที่ประเทศไทยมีน้ำท่วมแบบน้ำได้ทุกปี ต้นเหตุก็ไม่น่าจะไปไหนไม่ได้นอกจากสภาพพื้นที่ของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไป มีการเพิ่มขึ้นของพื้นที่การเกษตร พื้นที่ที่อยู่อาศัย ประกอบกับพื้นที่ป่าธรรมชาติที่เคยเป็นที่ดูดซับน้ำ ชะลอความเร็วและยืดระยะเวลาการไหลของน้ำที่จะเข้าสู่พื้นที่ชุมชนลดลงเป็นจำนวนมาก และอีกสาเหตุหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องแต่เมื่อฟังชื่อแล้วจะรู้สึกว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับสาเหตุการเกิดน้ำท่วมนั้นก็คือ การชลประทาน ถึงแม้ว่าการชลประทาน การสร้างเขื่อนจะมีประโยชน์ต่อมนุษย์ในด้านต่างๆทั้งการบริโภคและอุปโภค แต่การที่จะได้มาซึ่งเขื่อนหนึ่งเขื่อนได้มีการสูญเสียพื้นที่ป่าไปเท่าไรเพื่อสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ จำเป็นต้องมีการสำรวจพื้นที่และศึกษาผลกระทบต่อชุมชนพืช สัตว์และสภาพพื้นที่โดยรอบอย่างถี่ถ้วน

             ภัยธรรมชาติเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมและทราบได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่เราสามารถคาดคะเนจากข้อมูลและหลักฐานเมื่อนำมาคำนวณหาเพื่อที่จะได้ประกาศเตือนให้ประชาชนทั่วไปเตรียมตัวและรับมือกับภัยธรรมชาติดังกล่าว แต่นั้นมันก็เป็นแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ส่วนการแก้ปัญหาที่แท้จริงควรร่วมมือกันหลายๆฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย พึ่งพาธรรมชาติแบบคนไทยสมัยก่อนก็ น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีและน่าจะเหมาะสมกับสังคมไทย                                       

                                                                                       น.ส.ศศิธร  บัวสอน เลขที่ 27 ม.5/8

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น